วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

โปรแกรมคอมพิวเตอร์

  • 1. ความหมายของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ความหมายของโปรแกรมคอมพิว เตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หมายถึง คำาสั่งหรือชุดคำาสั่ง ที่เขียนขึ้นมาเพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำางานตามที่เราต้องการ เราจะให้คอมพิวเตอร์ทำาอะไรก็เขียนเป็นคำาสั่ง ซึ่งต้องสั่งเป็นขั้นตอนและแต่ละขั้นตอนต้องทำาอย่างละเอียดและครบถ้วน ซึ่งจะเกิดเป็นงานชิ้นหนึ่งขึ้นมามีชื่อเรียกว่า "โปรแกรม" ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ 1.1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) 1.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)ขั้น ตอนที่ 1 : รับ ข้อ มูล เข้า (Input) เริ่มต้นด้วยการนำาข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถผ่านทางอุปกรณ์ชนิดต่างๆ แล้วแต่ชนิดของข้อมูลที่จะป้อนเข้าไปเช่น ถ้าเป็นการพิมพ์ข้อมูลจะใช้แผงแป้นพิมพ์ (Keyboard) เพื่อพิมพ์ข้อความหรือโปรแกรมเข้าเครื่อง ถ้าเป็นการเขียนภาพจะใช้เครื่องอ่านพิกัดภาพกราฟิค (Graphics Tablet) โดยมีปากกาชนิดพิเศษสำาหรับเขียนภาพ หรือถ้าเป็นการเล่นเกมก็จะมีก้านควบคุม (Joystick) สำาหรับเคลื่อนตำาแหน่งของการเล่นบนจอภาพเป็นต้นขั้น ตอนที่ 2 : ประมวลผลข้อ มูล (Process) เมื่อนำาข้อมูลเมาแล้ว เครื่องจะดำาเนินการกับข้อมูลตามคำาสั่งที่ได้รับมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ การประมวลผลอาจจะมีได้หลายอย่าง เช่น นำาข้อมูลมาหาผลรวม นำาข้อมูลมาจัดกลุ่มนำาข้อมูลมาหาค่ามากที่สุด หรือน้อยที่สดเป็นต้น ุขั้น ตอนที่ 3 : แสดงผลลัพ ธ์ (Output) เป็นการนำาผลลัพธ์จากการประมวลผลมาแสดงให้ทราบทางอุปกรณ์ที่กำาหนดไว้ โดยทั่วไปจะแสดงผ่านทางจอภาพ หรือเรียก
  • 2. กันโดยทั่วไปว่า "จอมอนิเตอร์" (Monitor) หรือจะพิมพ์ข้อมูลออกทางกระดาษโดยใช้เครื่องพิมพ์ก็ได้ภาษาโปรแกรมมิ่ง (Programming Language) ภาษาโปรแกรมมิ่ง หมาย ถึง ภาษาใดๆ ที่ถูกออกแบบโครงสร้างขึ้นมา เพื่อใช้ในการเขียนคำาสั่งหรือชุดคำาสั่ง ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษที่มนุษย์เข้าใจ ประกอบด้วยโครงสร้างของภาษา(Structure) รูปแบบไวยากรณ์ (Syntax) และคำาศัพท์ต่างๆ (Vocabulary หรือ Keyword) เพื่อสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำางานตามที่เราต้องการ ในงานเขียนโปรแกรมจะต้องมีการเตรียมงานเกี่ยวกับการเขียนโปแกรมอย่างเป็นขั้นตอน เรียกขั้นตอนเหล่านี้ว่า “ขั้น ตอนการพัฒ นาโปรแกรม ” ดังนี้ขั้น ตอนการพัฒ นาโปรแกรม1. การวิเ คราะห์ป ัญ หาการวิเคราะห์ปัญหา ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ 1.1 กำาหนดวัตถุประสงค์ของงาน เพื่อพิจารณาว่าโปรแกรมต้องทำาการประมวลผลอะไรบ้าง 1.2 พิจารณาข้อมูลนำาเข้า เพื่อให้ทราบว่าจะต้องนำาข้อมูลอะไรเข้าคอมพิวเตอร์ ข้อมูลมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร ตลอดจนถึงลักษณะและรูปแบบของข้อมูลที่จะนำาเข้า 1.3 พิจารณาการประมวลผล ให้ทราบว่าโปรแกรมมีขั้นตอนการประมวลผลอย่างไร มีเงื่อนไปการประมวลผลอะไรบ้าง 1.4 พิจารณาข้อสนเทศนำาออก เพื่อให้ทราบว่ามีข้อสนเทศอะไรที่จะแสดง รูปแบบและสื่อที่จะใช้ในการแสดงผล2. การออกแบบโปรแกรม การออกแบบขั้นตอนการทำางานของโปรแกรมเป็นขั้นตอนที่ใช้เป็นแนวทางในการลงรหัสโปรแกรม ผู้ออกแบบขั้นตอนการทำางานของโปรแกรมอาจใช้เครื่องมือต่างๆ ช่วยในการออกแบบอาทิเช่น คำาสั่งลำาลอง (Pseudo code) หรือ ผังงาน (Flowchart) การออกแบบโปรแกรมนั้นไม่ต้องพะวงกับรูปแบบคำาสั่ง
  • 3. ภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ให้มุ่งความสนใจไปที่ลำาดับขั้นตอนในการประมวลผลของโปรแกรมเท่านั้น3. การเขีย นโปรแกรมด้ว ยภาษาคอมพิว เตอร์ การเขียนโปรแกรมเป็นการนำาเอาผลลัพธ์ของการออกแบบโปรแกรม มาเปลี่ยนเป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหนึ่ง ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องให้ความสนใจต่อรูปแบบคำาสั่งและกฎเกณฑ์ของภาษาที่ใช้เพื่อให้การประมวลผลเป็นไปตามผลลัพธ์ที่ได้ออกแบบไว้ นอกจากนั้นผู้เขียนโปรแกรมควรแทรกคำาอธิบายการทำางานต่างๆ ลงในโปรแกรมเพื่อให้โปรแกรมนั้นมีความกระจ่างชัดและง่ายต่อการตรวจสอบและโปรแกรมนี้ยังใช้เป็นส่วนหนึ่งของเอกสารประกอบ4. การทดสอบและแก้ไ ขโปรแกรม การทดสอบโปรแกรมเป็นการนำาโปรแกรมที่ลงรหัสแล้วเข้าคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบรูปแบบกฎเกณฑ์ของภาษา และผลการทำางานของโปรแกรมนั้น ถ้าพบว่ายังไม่ถูกก็แก้ไขให้ถูกต้องต่อไป ขันตอนการทดสอบและแก้ไขโปรแกรม อาจแบ่งได้ ้เป็น 3 ขั้น 4.1 สร้างแฟ้มเก็บโปรแกรมซึ่งส่วนใหญ่นิยมนำาโปรแกรมเข้าผ่านทางแป้นพิมพ์โดยใช้โปรแกรมประมวลคำา 4.2 ใช้ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์แปลโปรแกรมที่สร้างขึ้นเป็นภาษาเครื่อง โดยระหว่างการแปลจะมีการตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบและกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษา ถ้าคำาสั่งใดมีรูปแบบไม่ถูกต้องก็จะแสดงข้อผิดพลาดออกมาเพื่อให้ผู้เขียนนำาไปแก้ไขต่อไป ถ้าไม่มีข้อผิดพลาด เราจะได้โปรแกรมภาษาเครื่องที่สามารถให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้ 4.3 ตรวจสอบความถูกต้องของการประมวลผลของโปรแกรมโปรแกรมที่ถูกต้องตามรูปแบบและกฎเกณฑ์ของภาษา แต่อาจให้ผลลัพธ์ของการประมวลผลไม่ถูกต้องก็ได้ ดังนั้นผู้เขียนโปรแกรมจำาเป็นต้องตรวจสอบว่าโปรแกรมประมวลผลถูกต้องตามต้องการหรือไม่ วิธีการหนึ่งก็คือ สมมติขอมูลตัวแทนจากข้อมูลจริงนำาไป ้ให้โปรแกรมประมวลผลแล้วตรวจสอบผลลัพธ์ว่าถูกต้องหรือไม่ถ้าพบว่าไม่ถูกต้องก็ต้องดำาเนินการแก้ไขโปรแกรมต่อไป การสมมติขอมูลตัวแทนเพื่อการทดสอบเป็นสิ่งที่มีความสำาคัญเป็น ้อย่างมาก ลักษณะของข้อมูลตัวแทนที่ดีควรจะสมมติทั้งข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผดพลาด เพื่อทดสอบว่าโปรแกรมที่พัฒนาขึ้น ิ
  • 4. สามารถครอบคลุมการปฏิบัติงานในเงื่อนไขต่างๆ ได้ครบถ้วนนอกจากนี้อาจตรวจสอบการทำางานของโปรแกรมด้วยการสมมติตัวเองเป็นคอมพิวเตอร์ทีจะประมวลผล แล้วทำาตามคำาสั่งทีละคำาสั่งของโปรแกรมนั้นๆ วิธีการนี้อาจทำาได้ยากถ้าโปรแกรมมีขนาดใหญ่ หรือมีการประมวลผลที่ซับซ้อน5. การทำา เอกสารประกอบโปรแกรม การทำาเอกสารประกอบโปรแกรมเป็นงานที่สำาคัญของการพัฒนาโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมช่วยให้ผู้ใช้โปรแกรมเข้าใจวัตถุประสงค์ ข้อมูลที่จะต้องใช้กับโปรแกรม ตลอดจนผลลัพธ์ที่จะได้จากโปรแกรม การทำาโปรแกรมทุกโปรแกรมจึงควรต้องทำาเอกสารกำากับ เพื่อใช้สำาหรับการอ้างอิงเมื่อจะใช้งานโปรแกรมและเมื่อต้องการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรม เอกสารประกอบโปรแกรมที่จัดทำา ควรประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ 1. วัตถุประสงค์ 2. ประเภทและชนิดของคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้ใน โปรแกรม 3. วิธีการใช้โปรแกรม 4. แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรม 5. รายละเอียดโปรแกรม 6. ข้อมูลตัวแทนที่ใช้ทดสอบ 7. ผลลัพธ์ของการทดสอบ6. การบำา รุง รัก ษาโปรแกรม เมื่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้วและถู ก นำา มาให้ผู้ใช้ ได้ ใ ช้ ง าน ในช่ ว งแรกผู้ ใช้ อ าจจะยั ง ไม่ คุ้ นเคยก็อาจทำาให้เกิดปัญหาขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีผู้คอยควบคุมดู แลและคอยตรวจสอบการทำา งาน การบำา รุ ง รั ก ษาโปรแกรมจึ งเป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องคอยเฝ้าดูและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมในระหว่ า งที่ ผู้ ใ ช้ ใ ช้ ง านโปรแกรม และปรั บ ปรุ งโปรแกรมเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือในการใช้งานโปรแกรมไปนานๆ ผู้ใช้อาจต้องการเปลี่ยนแปลงการทำางานของระบบงานเดิมเพื่ อ ให้ เ หมาะกั บ เหตุ ก ารณ์ นั ก เขี ย นโปรแกรมก็ จ ะต้ อ งคอยปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมตามความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
  • 5. การพัฒนาโปรแกรมจะดำานเนินการตามขั้นตอนที่ 1-6 ซึ่งแต่ละขั้นตอน สามารถย้อนกลับไปทำาในขั้นตอนก่อนหน้านี้ได้เมื่อเกิดความผิดพลาด หรือพัฒนาโปรแกรมไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงตามความต้องการของู้ใช้ในทุกขั้นตอน ซึ่งการดำาเนนการต่งๆ ของขั้นตอนที่ 1-6 เราจะต้องมีการดำาเนินการทำาเอกสารประกอบโปรแกรม ควบคู่กับการดำาเนนการพัฒนาโปรแกรมตลอดเมื่อเกิดารแก้ไขเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลอะไรก็ตามในโปรแกรมจะต้องทำาการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมในอนาคต สำาหรับผู้พัฒนาที่จะต้องมาดูแลการใช้งานโปรแกรม และเมื่อพัฒนาโปรแกรมเสร็จแล้ว ก็จะต้องดำาเนินการทำาเอกสารประกอบการใช้งานให้กับผู้ใช้ เพื่อที่จะสามารถใช้โปรแกรมได้ครบถ้วน และถูกต้องภาษาคอมพิว เตอร์ (ComputerProgramming Language)ชนิด ของภาษาคอมพิว เตอร์ ภาษาคอมพิวเตอร์เริ่มมาจากในมหาวิทยาลัย หรือในหน่วยงานของรัฐบาลที่ต้องการทำางานบางอย่าง นอกจากนี้ บางภาษาเกิดขึ้นเพราะความต้องการด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำาให้มีภาษาเกิดขึ้นเป็นจำานวนมากจากการที่มีภาษาจำานวนมากมายนั้น ทำาให้ต้องกำาหนดระดับของภาษาคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยในการแบ่งประเภทของภาษาเหล่านั้นการกำาหนดว่าเป็นภาษาระดับตำ่าหนือภาษาระดับสูง จะขึ้นอยู่กับภาษานั้นใกล้เคียงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (ใกล้เคียงกับรหัส 0 และ1 เรียกว่า ภาษาระดับตำ่า) หรือว่าใกล้เคียงกับภาษาที่มนุษย์ใช้(ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ เรียกว่า ภาษาระดับสูง)ภาษาเครื่อ ง (Machine Language) ก่อนปีค.ศ. 1952มีภาษาคอมพิวเตอร์เพียงภาษาเดียวเท่านั้นคือ ภาษาเครื่อง(Machine Language) ซึ่งเป็นภาษาระดับตำ่าที่สุด เพราะใช้เลขฐานสองแทนข้อมูล และคำาสั่งต่าง ๆ ทั้งหมดจะเป็นภาษาที่ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยประมวลผลที่ใช้ นั่นคือปต่ละเครื่องก็จะมีรูปแบบของคำาสั่งเฉพาะของตนเอง ซึ่งนักคำานวณและนักเขียนโปรแกรมในสมัยก่อนต้องรู้จักวิธีที่จะรวมตัวเลขเพื่อแทนคำาสั่งต่า ๆ ทำาให้การเขียนโปรแกรมยุ่งยากมาก
  • 6. นักคอมพิวเตอร์จึงได้พัฒนาภาษาแอสเซมบลีขึ้นมาเพื่อให้สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้นภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) ต่อมาในปีค.ศ. 1952 ได้มีการพัฒนาโปรแกรมภาษาระดับตำ่าตัวใหม่ ชื่อภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) โดยที่ภาษาแอสเซมบลีใช้รหัสเป็นคำาแทนคำาสั่งภาษาเครื่อง ทำาให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าการเขียนโปรแกรมจะยังไม่สะดวกเท่ากับการเขียนโปรแกรมภาษาอื่น ๆ ในสมัยนี้ แต่ถ้าเปรียบเทียบในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นการพัฒนาไปสู่ยุคของการเขียนโปรแกรมแบบใหม่ คือใช้สัญลักษณ์แทนเลข 0 และ1 ของภาษาเครื่อง ซึ่งสัญลักษณ์ที่ใช้จะเป็นคำาสั่งสั้น ๆ ที่จะได้ง่าย เรียกว่า นิมอนิกโคด (mnemonic code) เช่น สัญ ลัก ษณ์น ิว มอ ความหมาย นิก โคด การบวก (Add) การเปรียบเทียบ A (Compare) C การคูณ (Muliply) MP การเก็บข้อมูลใน STO หน่วยความจำา (Store) ตัว อย่า งนิว มอนิก โคด ถึงแม้ว่านิวมอนิกโคดที่ใช้จะไม่ใช้คำาในภาษาอังกฤษ แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายให้ผู้ใช้สามารถจดจำาได้ง่ายกว่าสัญลักษณ์เลข 0 และ 1 ผู้เขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลียังสามารถกำาหนดชื่อของที่เก็บข้อมูลในหน่วยความจำาเป็นคำาในภาษาอังกฤษ แทนที่จะเป็นเลขที่ตำาแหน่งในหน่วยความจำา เช่นTOTAL , INCOME เป็นต้น แต่ข้อจำากัดของภาษาภาษาแอสเซมบลี คือ จะแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่องเช่นเดียวกับภาษาเครื่อง
  • 7. ผู้เขียนโปรแกรมภาษาแอสเซมบลีต้องใช้ แอสเซมเบลอ(Assembler) แปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำางานตามต้องการภาษาระดับ สูง (High Level Language) ในปีค.ศ. 1960 ได้มีการพัฒนา ภาษาระดับสูง (HighLevel Language) ขึน ภาษาระดับสูงจะใช้คำาในภาษาอังกฤษ ้แทนคำาสั่งต่าง ๆ รวมทั้งสามารถใช้นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ได้ด้วยทำาให้นักเขียนโปรแกรมสามารถใช้เวลามุ่งไปในการศึกษาถึงทางแก้ปัญหาเท่านั้น ไม่ต้องเป็นกังวลว่าคอมพิวเตอร์จะทำางานอย่างไรอีกต่อไป ภาษาระดับสูงนี้ถือว่าเป็น ภาษายุคที่สาม (third-generation language) ซึ่งทำาให้เกิดการประมวลผลข้อมูลเพิ่มมากขึ้นอย่างมหาศาลระหว่างปี ค.ศ. 1960 ถึง ค.ศ. 1970 และมีผู้หันมาใช้คอมพิวเตอร์กันมากขึ้น โดยสังเกตได้จามเครื่องเมนเฟรมจากจำานวนร้อยเครื่องเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นเครื่อง อย่างไรก็ตาม ภาษาระดับสูงก็ยังคงต้องการตัวแปลภาษาให้เป็นภาษาเครื่องเพื่อสั่งให้เครื่องทำางานต่อไป ตัวแปลภาษาที่นิยมใช้งานกันโดยทั่วไปจะเป็นแบบคอมไพเลอร์ ซึ่งแต่ละภาษาก็มีคอมไพเลอร์ไม่เหมือนกัน รวมทั้งคอมไพเลอร์แต่ละตัวก็จะต่างกันไปบนเครื่องแต่ละชนิดด้วย เช่น ถ้าเขียนโปรแกรมภาษา COBOL บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ก็จะต้องเลือกใช้คอมไพเลอร์ภาษา COBOLที่ทำางานบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งภาษาใดบนเครื่องที่ต่างกันอาจจะแตกต่างกันได้ เพราะคอมไพเลอร์ที่ใช้ต่างกันนั่นเอง ภาษาคอมพิวเตอร์บางภาษาได้ถูออแบบมาให้ใช้แก้ปัญหางานเฉพาะบางอย่าง เช่น การควบคุมหุ่นยนต์ การสร้างภาพกราฟฟิก เป็นต้น แต่ภาษาคอมพิวเตอร์โดยมากจะมีความยืดหยุ่นให้ใช้งานทั่ว ๆ ไปได้ เช่น ภาษา BASIC ภาษา COBOL หรือภาษา FORTRAN เป็นต้น และนอกจากนี้ยังมีภาษา C ที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน
  • 8. ภาษาระดับ สูง มาก (Very high-level Language)เป็นภาษายุคที่ 4 (fourth-generation language) หรือ 4GLsจะเป็นภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมได้สั้นกว่าภาษาในยุคก่อน ๆ การทำางานบางอย่างสามารถใช้เพียง 5 ถึง 10 บรรทัดเท่านั้น ในขณะที่ถ้าเขียนด้วยภาษา อาจต้องใช้ถึง 100 บรรทัด โดยพื้นฐานแล้ว ภาษาในยุคที่ 4 นี้มีคุณสมบัติที่แยกจากภาษาในยุคก่อนๆ อย่างชัดเจน กล่าวคือภาษาในยุคก่อนนั้นใช้หลักการของ การเขียนโปรแกรมแบบโพรซีเยอร์ (procedurl language) ในขณะที่ภาษาในยุคที่ 4 จะเป็นแบบ ไม่ใช้โพรซีเยอร์(nonprocedurl language) ผู้เขียนโปรแกรมเพียงแต่กำาหนดว่าต้องการให้โปรแกรมทำาอะไรบ้างก็สามารถเขียนโปรแกรมได้ทันที โดยไม่ต้องทราบว่าทำาได้อย่างไร ทำาให้การเขียนโปรแกรมสามารถทำาได้ง่ายและรวดเร็วมีนักเขียนโปรแกรมกล่าวว่า ถ้าใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้เขียนโปรแกรมจะทำาให้ได้งานที่เพิ่มขึ้นถึงสิบเท่าตัว ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการพิมพ์รายงานแสดงจำานวนรายการสินค้าที่ขายให้ลูกค้าแต่ละคนในหนึ่งเดือน โดยให้แสดงยอดรวมของลูกค้าแต่ละคนและให้ขึ้นหน้าใหม่สำาหรับการพิมพ์รายงานลูกค้าแต่ละคน จะเขียนโดยใช้ภาษาในยุคที่ 4 ได้ดังนี้ TABLE FILE SALES SUM UNIT BY MONTH BY CUSTOMER BY PROJECT ON CUSTOMER SUBTOTAL PAGE BREAK ENDจากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าเป็นงานที่ซับซ้อน ซึ่งถ้าใข้ภาษาCOBOL เขียนอาจจะต้องใช้ถึง 500 คำาสั่ง แต่ถ้าใช้ภาษาในยุคที่ 4 นี้จะเป็นสิ่งที่ทำาได้ไม่ยากเลยข้อ ดีข องภาษาในยุค ที่ 4
  • 9.  การเขียนโปรแกรมจะเน้นที่ผลของงานว่า ต้องการอะไร ไม่สนใจว่าจะทำาได้อย่างไร  ช่วยพัฒนาเนื้องาน เพราะเขียนและแก้ไข โปรแกรมได้ง่าย  ไม่ต้องเสียเวลาอบรมผู้เขียนโปรแกรมมาก นัก ไม่ว่าผู้ที่จะมาเขียนโปรแกรมนั้นมี ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมหรือไม่  ผู้เขียนโปรแกรมไม่ต้องทราบถึงฮาร์ดแวร์ ของเครื่องและโครงสร้างโปรแกรมภาษาในยุคที่ 4 นี้ยังมีภาษาที่ใช้สำาหรับเรียกดูข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ เรียกว่า ภาษาเรียกค้นข้อมูล (query language) โดยปกติแล้วการเก็บข้อมูลลงในฐานข้อมูล และการแสดงรายงานจากฐานข้อมูล จะต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า แต่บางครั้งอาจมีการเรียกดูข้อมูลพิเศษที่ไม่ได้มีการวางแผนไว้ ถ้าผู้ใช้เรียนรู้ภาษาเรียกค้นข้อมูลก็จะขอดูรายงานต่าง ๆ นอกเหนือจากที่ได้มีการวางแผนไว้ได้โดยใช้เวลาไม่มากนัก ภาษาเรียกค้นข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเรียกว่า SQL (Structured Query Language) และนอกจากนี้ยังมีภาษา Query Bu Example หรือ QBE ที่ได้รับความนิยมการใช้งานมากเช่นกันภาษาธรรมชาติ (Nature Language) เป็น ภาษายุคที่5 (fifth generation language) หรือ 5GLs ธรรมชาติหมายถึงธรรมชาติของมนุษย์ คือไม่ต้องสนใจถึงคำาสั่งหรือลำาดับของข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ใช้เพียงแต่พิมพ์สิ่งที่ต้องการลงในเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นคำาหรือประโยคตามที่ผู้ใช้เข้าใจ ซึ่งจะทำาให้มีรูปแบบของคำาสั่งหรือประโยคที่แตกต่างกันออกไปได้มากมาย เพราะผู้ใช้แต่ละคนอาจจะใช้ประโยคต่างกัน ใช้คำาศัพท์ต่างกัน หรือแม้กระทั่งบางคนอาจจะใช้ศัพท์แสลงก็ได้ คอมพิวเตอร์จะพยายามแปลคำาหรือประโยคเหล่านั้นตามคำาสั่ง แต่ถ้าไม่สามารถแปลให้เข้าใจได้ ก็จะมีคำาถามกลับมาถามผู้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้องภาษาธรรมชาติจะใช้ ระบบฐานความรู้ (knowledge basesystem) ช่วยในการแปลความหมายของคำาสั่งต่าง ๆการเลือ กใช้ค อมพิว เตอร์ เนื่องจากในปัจจุบันทุก ๆ ปีจะมีภาษาคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นมากมาย และภาษาต่าง ๆ จะมีจุดดีและจุดด้อยแตกต่างกันไป ผู้ใช้จึงจำาเป็นต้องทำาการคัดเลือกภาษาที่จะ
  • 10. นำามาใช้งานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเมื่อศึกษาและพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยภาษาใดภาษาหนึ่งแล้ว การเปลี่ยนไปใช้ภาษาอื่นในภายหลังจะเป็นเรื่องที่ยากลำาบากอย่างยิ่ง ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายและเวลาที่ต้องสูญเสียไป รวมทั้งปัญหาของบุคลากรที่ต้องศึกษาหาความชำานาญใหม่อีกด้วยในการเลือกภาษาคอมพิวเตอร์ที่จะนำามาใช้ สิ่งที่ควรพิจารณาคือ - ในหน่วยงานหนึ่ง ๆ ควรจะใช้ภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาเดียวกัน เพราะการดูแลรักษาซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้น ตลอดจนการจัดหาบุคลากรจะกระทำาให้ง่ายกว่า - ในการเลือกภาษาควรเลือกโดยดูจากคุณสมบัติหรือข้อดีของภาษานั้น ๆ เป็นหลัก - ถ้าโปรแกรมที่เขียนขึ้นนั้นต้องนำาไปทำางานบนเครื่องต่างๆ กัน ควรเลือกภาษาที่สามารถใช้งานได้บนทุกเครื่อง เพราะจะทำาให้เขียนโปรแกรมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น - ผู้ใช้ควรจำากัดภาษาคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ ไม่ควรติดตั้งตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ทุกภาษาบนเครื่องทุกเครื่อง - ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เลือกใช้ จะถูกจำากัดโดยนักเขียนโปรแกรมที่มีอยู่ เพราะควรใช้ภาษาที่มีผู้รู้อยู่บ้าง - บางครั้งในงานที่ไม่ยุ่งยากนัก อาจใช้ภาษาคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เช่น ภาษา BASIC เพราะเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็ว รวมทั้งมีติดตั้งอยู่บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมากอยู่แล้ว ภาษาคอมพิวเตอร์ การใช้งาน BASIC (Beginners All- สำาหรับผู้เริ่มศึกษาการเขียน purpose Symbolic โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ Instruction Code) COBOL (Common นิยมใช้ในงานธุรกิจบน Business Oriented เครื่องขนาดใหญ่ Language)
  • 11. ใช้สำาหรับงานด้านFORTRAN (FORmula คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์TRANslator) วิศวกรรมศาสตร์Pascal (ชื่อของ Blaise ใช้ในวิทยาลัย และPascal) มหาวิทยาลัย สำาหรับนักเขียนโปรแกรมC และใช้ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัยC++ สำาหรับผู้ผลิตซอฟต์แวร์ เริ่มต้นได้รับการออกแบบให้ เป็นภาษาสำาหรับงานทางALGOL (ALGOrithmic วิทยาศาสตร์ และต่อมามีLanguage) การพัฒนาต่อเป็นภาษา PL/I และ Pascal ออกแบบโดยบริษัท IBM ใน ปีค.ศ. 1968 เป็นภาษาที่APL (A Programming โต้ตอบกับผู้ใช้ทันที เหมาะLanguage) สำาหรับจัดการกับกลุ่มของ ข้อมูลทีสัมพันธ์กันในรูป ่ แบบตาราง ถูกออกแบบมาให้ใช้กับ ข้อมูลที่ไม่ใช้ตัวเลข ซึ่งอาจ เป็นสัญลักษณ์พิเศษหรือตัวLISP (LIST Processing) อักษรก็ได้ นิยมใช้ในด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (Artifical Inelligence) นิยมใช้ในโรงเรียน เพื่อLOGO สอนทักษะการแก้ปัญหาให้ กับนักเรียน ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานPL/I (Programming ทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์Language One) และธุรกิจPROLOG นิยมใช้มากในงานด้าน(PROgramming LOGIC) ปัญญาประดิษฐ์ จัดเป็น
  • 12. ภาษาธรรมชาติภาษาหนึ่ง ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงาน RPG (Report Program ทางธุรกิจ จะมีคุณสมบัติใน Generator) การสร้างโปรแกรมสำาหรับ พิมพ์รายงานที่ยืดหยุ่นมาก ภาษาคอมพิว เตอร์ก ับ การใช้ง านตัว อย่า งภาษาคอมพิว เตอร์ ปัจจุบันนี้มีภาษาคอมพิวเตอร์ให้เลือกใช้มากมายหลายภาษา แต่ละภาษาก็ถูกออกแบบมาให้ใช้กับงานด้านต่าง ๆ กันตัวอย่างเช่น บางภาษาก็ออกแบบมาให้ใช้แก้ปัญหาทางธุรกิจบางภาษาก็ใช้ในการคำานวณที่ซับซ้อน ซึ่งจะกล่าวโดยสรุปถึงการใช้งานของแต่ละภาษาดังนี้- ภาษา BASIC เป็นภาษาที่ใช้ง่าย และติดตั้งอยู่บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมาก ใช้สำาหรับผู้เริ่มต้นศึกษาการเขียนโปรแกรมและผู้ที่เขียนโปรแกรมเป็นงานอดิเรก นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมสั้น ๆ ภาษา BASIC รุ่นแรกใช้ interpreter เป็นตัวแปลภาษา ทำาให้เขียนโปรแกรม ทดสอบ และแก้ไขโปรแกรมได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ทำางานได้ช้า ทำาให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมเชี่ยวชาญแล้วไม่นิยมใช้งาน แต่ปัจจุบันนี้มีภาษา BASIC รุ่นใหม่ออกมาซึ่งใช้ conplier เป็นตัวแปลภาษา ทำาให้ทำางานได้คล่อ่งตัวขึ้น เช่น Microsofts Quick BASIC และ Visual Basicเป็นต้น- ภาษา COBOL
  • 13. เป็นภาษาระดับสูงที่ออกแบบมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 นิยมใช้สำาหรับการแก้ปัญหาทางด้านธุรกิจ เช่น การจัดเก็บ เรียกใช้ และประมวลผลทางด้านบัญชี ตลอดจนทำางานด้านการควบคุมสินค้าคงคลัง การรับและจ่ายเงิน เป็นต้นคำาสั่งของภาษา COBOL จะคล้ายกับภาษาอังกฤษทำาให้สามารถอ่านและเขียนโปรแกรมได้ไม่ยากนัก ในยุคแรก ๆ ภาษา COBOLจะได้รับความนิยมบนเครื่องระดับเมนเฟรม แต่ปัจจุบันนี้จะมีตัวแปลภาษา COBOL ที่ใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย รวมทั้งมีภาษา COBOL ที่ได้รับการออกแบบตามแนวทางเชิงวัตถุ(Object Oriented) เรียกว่า Visual COBOL ซึ่งช่วยให้โปรแกรมสามารถทำาได้ง่ายขึ้น และสามารถนำาโปรแกรมที่เขียนไว้มาใช้ในการพัฒนางานอื่น ๆ อีก- ภาษา Fortran เป็นภาษาระดับสูงที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท IBM ตั้งแต่ปีค.ศ. 1957 ย่อมาจากคำาว่า FORmula TRANslator ซึ่งถือว่าเป็นการกำาเนิดของภาษาระดับสูงภาษาแรก นิยมใช้สำาหรับงานที่มีการคำานวณมาก ๆ เช่น งานทางด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น- ภาษา Pascal เป็นภาษาระดับสูงที่เอื้ออำานวยให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนโปรแกรมได้อย่างมีโครงสร้าง และเขียนโปรแกรมได้ง่ายกว่าภาษาอื่น นิยมใช้บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นภาษาสำาหรับการเรียนการสอน และการเขียนโปรแกรมประยุกต์ต่าง ๆ ภาษาปาสคาลมีตัวแปลภาษาทั้งที่เป็น interpreter และ Compilerโดยจะมีโปรแกรมเทอร์โบปาสคาล (Turbo Pascal) ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในวงการศึกษาและธุรกิจ เนื่องจากได้รับการปรับปรุงให้ตัวข้อเสียของภาษาปาสคาลรุ่นแรก ๆ ออก- ภาษา C และ C++ ภาษา C ถูกพัฒนาขึ้นโดย ในปีค.ศ. 1972 ที่หองปฏิบัติ ้การเบลล์ของบริษัท AT&T เป็นภาษาที่ใช้เขียนระบบปฏิบัติการ
  • 14. UNIX ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมคู่กับภาษาซี และมีการใช้งานอยู่ในเครื่องทุกระดับ ภาษา เป็นภาษาระดับสูงที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมเป็นอย่างมาก เนื่องจากภาษา จะเป็นภาษาที่รวมเอกข้อดีของภาษาระดับสูงในเรื่องของความยืดหยุ่นและไวยากรณ์ที่ง่ายต่อการเข้าใจ กับข้อดีของภาษาแอสเซมบลีในเรื่องของประสิทธิภาพและความเร็วในการทำางานทำาให้โปรแกรมที่พัฒนาด้วยภาษาซีทำางานได้เร็วกว่าโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงอื่น ๆ ในขณะที่การพัฒนาและแก้ไขโปรแกรมสามารถทำาได้ง่ายเช่นเดียวกันภาษาระดับสูงทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ภาษา C ยังได้มีการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปอีก โดยทำาการประยุกต์แนวความคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุเข้ามาใช้ในภาษา ทำาให้เกิดเป็นภาษาใหม่คือ C++ (++ ในความหมายของภาษาซีคือการเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งนั่นเอง) ซึ่งเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมใช้งานพัฒนาโปรแกรมอย่างมาก- ภาษาโปรแกรมเชิง วัต ถุ (Object-OrientedProgramming Language) นักเขียนโปรแกรมบางคนคิดว่าการเขียนโปรแกรมขนาดใหญ่นั้น บางครั้งก็เป็นงานที่หนักและเสียเวลามาก จึงได้พยายามคิดหาวิธีที่จะทำาให้การเขียนโปรแกรมนั้นง่ายขึ้น และสามารถเขียนได้อย่าวรวดเร็ว ทำาให้เกิดเทคนิค การโปรแกรมเชิงวัตถุ(Object-Oriented Programming) หรือ OOP เพื่อช่วยลดความยุ่งยากของการเขียนโปรแกรม Object-Oriented Programming ต่างจากการเขียนโปรแกรมโดยทั่ว ๆ ไป โดยการเขียนโปรแกรมตามปกตินั้น ผู้เขียนโปรแกรมจะพิจารณาถึงขั้นตอนการแก้ปัญหาของโปรแกรมเหล่านั้น แต่เทคนิคของ OOP จะมองเป็น วัตถุ (object) เช่นกล่องโต้ตอบ (dialog box) หรือไอคอนบนจอภาพ เป็นต้น โดยออบเจ็คใดออบเจ็คหนึ่งจะทำางานเฉพาะที่แน่นอน ถ้าผู้ใช้ต้องการทำางานชนิดนั้นก็สามารถคัดลอกไปใช้ในโปรแกรมที่ต้องการได้ทันที
  • 15. โปรแกรมเดลไฟ หลักการของโปรแกรมเชิงวัตถุได้รับการพัฒนามาเป็นเวลานานแล้ว โดยภาษาเริ่มแรกคือ Simula-67 ได้รับการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1967 และต่อมาก็มีภาษา smalltalk ซึ่งเป็นภาษาเชิงวัตถุเต็มรูปแบบ นอกจากนี้ หลักการของ OOP ยังได้รับการนไปเสริมเข้ากับภาษาโปรแกรมในยุคที่ 3 คือ C จนเกิดเป็นภาษาใหม่คือ C++ รวมทั้งยังมีการเสริมเข้ากับ การโปรแกรมแบบภาพ(visual programming) ทำาให้เกิด Visual Basic ซึ่งมีรากฐานมาจาก BASIC และ Delphi ซึ่งมีรากฐานมาจาก Pascalนอกจากนี้ ในปัจจุบันจะมีภาษาที่ใช้หลักการโปรแกรมเชิงวัตถุตัวใหม่ล่าสุดซึ่งกำาลังมาแรงและมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมสูงคู่กันอินเตอร์เน็ต นั่นคือภาษา JAVA- ภาษาที่อ อกแบบมาสำา หรับ OOP การพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ที่มี การติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟฟิก (Graphical User Interface หรือ GUI) เช่นMicrosoft Windows และ World Wide Web จะสามารถทำาได้ง่าย รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก ด้วยเครื่องมือในการพัฒนาที่ใช้หลักการของ OOP ซึ่งในปัจจุบันจะมีเครื่องมือประเภทนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ 2 ภาษา คือ VisualBasic และ JAVA
  • 16. - Visual Basic ภาษา Visual Basic พัฒนาโดย Prof. Kemeny และKurtz ที่เมือง Dartmouth ในปีค.ศ. 1960 โดยมีจุดประสงค์สำาหรับใช้สอนในห้องคอมพิวเตอร์ เมื่อมีการพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ขึ้นในยุคแรก ๆ จะมีหน่วยความจำาไม่เพียงพอที่จะทำางานกับโปรแกรมภาษาอื่น เช่น FORTRAN และ COBOLเพราะขนาดของตัวแปรภาษาซึ่งต้องใช้หน่วยความจำาสูงมาก แต่เครื่องเหล่านั้นสามารถใช้ภาษา BASIC ได้ เพราะภาษา BASICใช้ตัวแปลภาษาที่มีขนาดเล็ก และตัวแปลภาษานั้นไม่ต้องเก็บอยู่ในหน่วยความจำาทั้งหมดก็สามารถทำางานได้ เป็นเหตุให้ภาษาBASIC ได้รับความนิยมบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จะได้รับการพัฒนาสูงขึ้นในเรื่องของความเร็วและหน่วยความจำาเท่าใดก็ตาม แต่ภาษา Visual Basic จะแตกต่างจากภาษา BASIC โดยสิ้นเชิง ทั้งในแง่ของหน่วยความจำาที่ต้องการ และวิธีการพัฒนาโปรแกรม โปรแกรมวิช วลเบสิค ภาษา Visual Basic ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยบริษัท Microsoft มีจุดประสงค์ในการใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาโปรแกรมที่มีการติดต่อับผู้ใช้เป็นแบบกราฟฟิก โดยจะมีเครื่องมื่อต่าง ๆ ที่ช่วยในการพัฒนาโปรแกรมอย่างรวดเร็ว หรือที่นิยมเรียก
  • 17. ว่า RAD (Repid Application Development) ปัจจุบันนี้มีผู้ใช้งานภาษา Visual Basic เป็นจำานวนมาก โดยภาษา VisualBasic ได้รับการออกแบบให้ทำางานบนระบบวินโดว์เวอร์ชั่นต่าง ๆจากไมโครซอฟต์ เช่น Visual Basic 3 ทำางานบนระบบวินโดว์3.11 ส่วน Visual Basic 4 และ 5 ทำางานบนระบบวินโดว์ 95เป็นต้น- JAVA ภาษาใหม่ที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน คงจะไม่มีภาษาไหนที่เทียบได้รับภาษาจาวาซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ ในปี 1991 โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์อิเลคทรอนิกส์สำาหรับผู้บริโภคที่ง่ายต่อการใช้ง่าย มีค่าใช้จ่ายตำ่า ไม่มีข้อผิดพลาด และสามารถใช้กับเครื่องใด ๆ ก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นข้อดีของจาวาที่เหนือกว่าภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่โปรแกรมซึ่งเขียนขึ้นด้วยจาวาสามารถนำาไปใช้กับเครื่องต่าง ๆ โดยไม่ต้องทำาการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ ทำาให้ไม่จำากัดอยู่กับเครื่องหรือโอเอสตัวใดตัวหนึ่ง แม้ว่าการใช้งานจาวาในช่วงแรกจะจำากัดอยู่กับ World Wide Web (WWW) และ Internetแต่ในปัจจุบันได้มีการนำาจาวาไปประยุกต์ใช้กับงานด้านซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างมากมาย ตั้งแต่ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์(Utility) ไปจนกระทั่งซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรมชุดจากบริษัท Corel ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรมหลัก ๆ คือ โปรแกรมเวิร์โปรเซสซิ่ง สเปรดซีต พรีเซนเตชั่น ที่เขียนขึ้นด้วยจาวาทั้งหมด จาวายังสามารถนำาไปใช้เป็นภาษาสำาหรับอุปกรณ์แบบฝังต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์ และอุปกรณ์ขนาดมือถือแบบต่าง ๆ เป็นต้นรวมทั้งยังได้รับความนิยมนำาไปใช้กับอุปกรณ์ที่ใช้สำาหรับเข้าสู่อินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้ว จาวายังเป็นภาษาที่ถูกใช้งานในคอมพิวเตอร์แบบเอ็นซี (NC) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ล่าสุด ที่เน้นการทำางานเป็นเครือข่ายว่าแอพเพลต (applet) ที่ต้องการใช้งานขณะนั้นมาจากเครื่องแม่ทำาให้การติดต่อสื่อสารสารผ่านเครือข่ายใช้ช่องทางการสื่อสารน้อยกว่าการดึงมาทั้งโปรแกรมเป็นอย่างมาก
  • 18. การเลือ กใช้ภ าษาคอมพิว เตอร์ ในการเลือกใช้ภาษาในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์นี้ ก็จะมีดารพิจารณาหลายอย่าง ด้วยกัน ดังที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ -ในบางครั้งซึ่งในงานที่ไม่ยุ่งยากนักก็อาจใช้ภาษาคอมพิวเตอร์พื้นฐานอย่างเช่น ภาษา Basic เพราะเขียนโปรแกรมได้ง่าย รวดเร็ว และก็ยังมีติดตั้งอยู่บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ส่วนมากอยู่ด้วย - ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เลือกใช้ก็จะถูกจำากัดโดยนักเขียนโปรแกรม เพราะว่าเราควรใช้ภาษา ที่มีผู้รอยู่บ้าง ู้ - ผู้ใช้ก็ควรที่จะกำาจัดภาษาคอมพิวเตอร์ที่จะใช้ด้วยไม่ควรติดตั้งตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ ทุกภาษาบนเครื่อง -ในการเลือกภาษาในการเขียนโปรแกรม เราก็ควรเลือกโดยการดูจากคุณสมบัติหรือข้อดีของ ภาษานั้น ๆ เป็นหลักด้วยลัก ษณะของภาษา htmlองค์ประกอบของภาษา HTML สามารถแบ่งออกเป็น 2ส่วน คือ
  • 19. 1) ส่วนที่เป็นข้อความทั่วๆไป2) ส่วนที่เป็นคำาสั่งที่ใช้ในการกำาหนดรูปแบบของข้อความที่แสดงซึ่งเราเรียกคำาสั่งนี้ว่า แท็ก(Tag) โดยแท็กคำาสั่งของ HTML จะอยู่ในเครื่องหมาย < และ >ซึ่งมีหลักในการเขียน คือส่วนเริ่มต้นของแท็ก เรียกว่า “แท็กเปิด” และส่วนจบของแท็กเรียกว่า “แท็กปิด” โดยส่วนของแท็กปิดจะต้องมีเครื่องหมาย Slash (/) ดังนี้ในกรณีที่ใช้แท็กซ้อนกันมากกว่า 1 แท็ก เราจะต้องใช้แท็กปิดปิดแท็กในสุดก่อน แล้วจึงไล่ปิดแท็กอื่นๆ ตามลำาดับ เช่น- บางแท็กไม่ต้องมีแท็กปิดก็สามารถใช้งานได้ คือ <br> , <hr>- สามารถพิมพ์แท็กเป็นตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ก็ได้ แต่ควรจะเลือกใช้เพียงแบบเดียว- บางแท็กจะมีตัวกำาหนดคุณสมบัติ เรียกว่า แอททริบิวท์(Attribute) และค่าที่ถูกกำาหนดให้ใช้แท็ก (Value) โดยจะเขียนไว้หลังแท็กเช่น <hr width=600 size=5>แท็ก <hr> เป็นการกำาหนดเส้นขั้นทางแนวนอนแอททริบิวท์ width กำาหนดความยาวของเส้นค่าที่ใช้กำาหนด 60 ค่าความยาวของเส้นหลัก การเขีย นภาษา HTML1. รู้จ ัก กับ ภาษา HTML (HTML Introduction) HTML ย่อมาจาก HyperText Markup Language เป็นหนึ่งในภาษาคอมพิวเตอร์ ที่มีลักษณะเป็นภาษาในเชิงการบรรยายเอกสารไฮเปอร์มีเดีย(Hypermedia Document DescriptionLanguage) เพื่อเผยแพร่เอกสารในระบบเครือข่าย WWW(World Wide Web) มีโครงสร้างภาษาโดยใช้ตัวกำากับ (Markup Tags) เพื่อทำาหน้าที่ควบคุมการแสดงผลข้อมูล รูปภาพ และวัตถุอื่น ๆผ่านทางโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ ซึ่งในแต่ละ Tag จะมีส่วนขยาย(Attribute) เพื่อควบคุมการ
  • 20. แสดงผล ซึ่งเป็นภาษาที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย World Wide WebConsortium (W3C) ซึ่งมีแม่แบบคือภาษา SGML (Standard Generalized Markup Language)การสร้างไฟล์ HTML จะต้องอาศัยโปรแกรมที่มีคุณสมบัติเป็นเท็กซ์เอดิเตอร์ (TextEditor) โดยใช้สำาหรับเขียนคำาสั่งต่าง ๆ ที่ต้องการแสดงผลทางจอภาพ และเก็บเป็นไฟล์ โดยมีนามสกุล .html หรือ .htm1.1 เริ่ม ต้น เขีย นภาษา HTML การเริ่มต้นเขียนภาษา HTML สามารถทำาได้โดยง่าย ถ้าใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์(Windows) ให้เปิดโปรแกรม Notepadพิมพ์คำาสั่งตามตัวอย่างต่อไปนี้<html><head><title>Title of page</title></head><body>This is my first homepage. <b>This text is bold</b></body></html>บันทึกไฟล์ โดยตั้งชื่อ ”mypage.htm” หรือ ”mypage.html”เปิดโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ เลือก ”Open” ในเมนู File และค้นหาไฟล์ที่ต้องการโปรแกรมเว็บบราวเซอร์จะแสดงผลจากคำาสั่งออกทางจอภาพTag แรกในเอกสาร HTML คือ <html> ซึ่งเป็น Tag ที่บอกให้เว็บบราวเซอร์รู้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเอกสาร HTML และ Tag สุดท้ายในเอกสาร ก็คือ</html> ซึ่งเป็น Tag ที่บอกเว็บบราวเซอร์ว่านี่คือจุดสิ้นสุดของเอกสาร HTMLตัวอักษรระหว่าง <head> และ </head> เป็น Tag ส่วนหัวเอกสารที่ใช้บอกข้อมูล ต่างๆ (Header Information) จะไม่แสดงข้อมูลที่อยู่ภายใน Tag นี้ออกทางจอภาพตัวอักษรที่อยู่ระหว่าง <title> เป็น Tag ที่แสดงชื่อของเอกสารซึ่ง Tag <title> จะแสดง
  • 21. ข้อมูลในเว็บบราวเซอร์ตรง Title barตัวอักษรที่อยู่ระหว่าง <body> จะเป็น Tag ที่ใช้แสดงตัวอักษรภายในเว็บบราวเซอร์ตัวอักษรระหว่าง <b> และ </b> จะทำาให้ตัวอักษรที่แสดงเป็นตัวหนา1.2 ควรเลือ กระหว่า ง HTM และ HTML เมื่อทำาการบันทึกเอกสาร HTML สามารถทำาการเลือกบันทึกได้ทั้ง .htm หรือ .html ในตัวอย่างนี้ได้ใช้การบันทึกแบบ .htm ซึ่งควรที่จะทำาการบันทึกเป็นนามสกุล .htm ให้ตดเป็นนิสัย ิเนื่องจากในอดีตที่ผ่านมายังมีบางโปรแกรมที่อนุญาตให้เปิดได้เฉพาะสามตัวอักษร หมายความว่าจะทำาให้เปิดได้เฉพาะเอกสาร .htm เท่านั้น แต่ในซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ เราก็สามารถที่จะทำาการบันทึกเอกสารให้เป็น .html ได้เช่นกัน1.3 HTML Editors ปัจจุบันนี้สามารถที่จะทำาการสร้างเอกสาร HTML ได้อย่างง่ายดาย โดยใช้ WYSIWYG(what you see is what you get) ซึ่งผลลัพธ์ของโปรแกรมที่เห็นจะเหมือนกับหน้าจอที่ได้ทำาการสร้างขึ้นมา เช่นโปรแกรม FrontPage, Adobe Photoshop,Macromedia Dreamweaverแต่ถ้าต้องการที่จะเพิ่มทักษะความสามารถในการพัฒนาเว็บ ก็ควรที่จะทำาการเรียนรู้คำาสั่งและสร้างเอกสาร HTML ด้วยตัวเอง2. องค์ป ระกอบของ HTML (HTML Elements) เอกสาร HTML ก็คือไฟล์เอกสาร (Text File) ที่สร้างขึ้นโดยมีองค์ประกอบของ HTML ซึ่งองค์ประกอบของ HTML ก็คือ Tag ต่าง ๆ นั่นเอง2.1 HTML Tags HTML Tags จะประกอบด้วยเครื่องหมาย < และ > โดยปกติทั่วไปแล้ว HTML Tag
  • 22. จะต้องมีหนึ่งคู่กัน เช่น <b> และ </b> โดยจะมี Tag เริ่มต้น(Start Tag) และ Tag สิ้นสุด (EndTag) ซึ่งตัวอักษรที่อยู่ระหว่าง Tag เริ่มต้น และ Tag สิ้นสุด จะเรียกว่าองค์ประกอบ โดยทั่วไปแล้ว HTML Tag สามารถเขียนได้ 2 รูปแบบ (Not CaseSensitive) เช่น <b> จะมีความหมายเหมือนกับ <B>2.2 HTML Elementsจากตัวอย่างต่อไปนี้<html><head><title>Title of page</title></head><body>This is my first homepage. <b>This text is bold</b></body></html>HTML Element ก็คือ<b> This text is bold </b>HTML Element เริ่มต้นที่ Tag เริ่มต้น ก็คือ: <b>ภายใน HTML Element จะมีส่วนประกอบ ก็คือ: This text isboldHTML Element สิ้นสุดที่ Tag สิ้นสุด ก็คือ: </b>จุดประสงค์ของ Tag <b> ก็คือการกำาหนดให้แสดงตัวอักษรเป็นตัวหนา2.3 ทำา ไมถึง ต้อ งใช้ Tag ที่เ ป็น ตัว อัก ษรพิม พ์เ ล็ก(Lowercase) ก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึง HTML Tag ว่าสามารถเขียนได้ 2รูปแบบ: <B> จะมีความหมายเช่นเดียวกับ <b> แต่จากตัวอย่างที่ผ่านมาได้ใช้ Tag ที่เป็นตัวอักษรพิมพ์เล็ก เนื่องจากว่าในอนาคตข้างหน้าภาษา HTML จะถูกกำาหนดให้ใช้ Tag ที่เป็นตัวอักษรพิมพ์เล็ก โดยที่ WorldWide Web Consortium (W3c) ได้มีขอกำาหนดให้ใช้ Tag ที่ ้เป็นตัวอักษรพิมพ์เล็กใน HTML 4
  • 23. และ XHTML2.4 Tag Attributes Tag สามารถที่จะกำาหนดให้มีคุณสมบัติ (Attribute) เพิ่มเติม ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านั้นสามารถเพิ่มเติมได้ในส่วนของ HTML ElementTag ที่ใช้ในการกำาหนดองค์ประกอบของตัวเอกสาร HTML:<body> สามารถที่จะเพิ่มเติมคุณสมบัติ bgcolor ซึ่งคำาสั่ง bgcolor จะทำาให้เว็บบราวเซอร์เปลี่ยนสีพื้นหลังของเอกสาร HTMLเช่น <body bgcolor = ”red”> หมายถึงการกำาหนดพื้นหลังของเอกสาร HTML ให้เป็นสีแดงTag ที่ใช้สร้างตาราง: <table> สามารถทำาการปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของเส้นขอบ(Border) ได้โดยใช้คำาสั่ง <table border = ”0”> หมายถึงกำาหนดให้ตารางนั้นไม่มีเส้นขอบAttribute จะต้องประกอบด้วย ชื่อ และค่า: name = ”value”โดยทั่วไปแล้ว Attribute จะเพิ่มลงในส่วนของ Tag เริ่มต้นของ HTML Element3. พื้น ฐาน HTML Tagsวิธีการที่จะเรียนรู้ภาษา HTML ที่ดีที่สุดก็คือการลงมือปฏิบัติ3.1 Headings Heading เป็นการกำาหนดหัวข้อ โดยใช้ Tag <h1> ถึง<h6> โดยที่ <h1> เป็นการกำาหนดหัวข้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด <h6> เป็นการกำาหนดหัวข้อที่มขนาด ีเล็กที่สุดโดยทั่วไปแล้ว HTML จะทำาการเพิ่มบรรทัดว่างก่อน และหลังHeading เสมอ3.2 Paragraphs Paragraphs เป็นการกำาหนดย่อหน้า โดยใช้ Tag <p><p>This is a paragraph</p>
  • 24. <p>This is another paragraph</p>โดยทั่วไปแล้ว HTML จะทำาการเพิ่มบรรทัดว่างก่อน และหลังParagraph เสมอ3.3 Line Breaks Tag <br> ใช้สำาหรับต้องการขึ้นบรรทัดใหม่ แต่ไม่ได้เป็นการเริ่ม paragraph ใหม่<p>This is a paragraph <br> with line breaks</p>Tag <br> จะมีไม่ Tag ปิด3.4 Comments in HTML Comment ใช้สำาหรับแทรกคำาแนะนำาลงในเอกสาร HTMLแต่ comment จะไม่ถูกนำาไปแสดงในเว็บบราวเซอร์ สามารถใช้ comment ในการอธิบายcode ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเข้าใจและสามารถแก้ไข code ได้ภายหลัง4. HTML Character Entities บางกรณีตัวอักษรพิเศษเช่น © หรือ ® ถ้าต้องการที่จะแสดงผลในเว็บบราวเซอร์ จะต้องใช้ Character Entity เพื่อที่จะทำาให้ตัวอักษรพิเศษเหล่านั้นแสดงผลได้ทางเว็บบราวเซอร์5. HTML Links HTML ใช้ Hyperlink เพื่อทำาการเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น ๆ ที่อยู่ในเว็บ5.1 The Anchor Tag and the Href Attribute HTML ใช้ Tag <a> (anchor) เพื่อทำาการเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น ๆ โดยสามารถที่จะเชื่อมโยงไปยังเอกสาร HTML, รูปภาพ, เสียง และอื่น ๆรูปแบบที่ใช้ในการสร้าง anchor5.2 The Target Attribute ในส่วนของเป้าหมาย (Target Attribute) สามารถกำาหนดพื้นที่ในการเปิดเอกสาร จาก
  • 25. ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการกำาหนดการเปิดเอกสารในหน้าต่างเว็บบราวเซอร์ใหม่5.3 The Anchor Tag and the Name Attribute Name Attribute ใช้สำาหรับกำาหนดชื่อของ anchor(Name anchor) เมื่อใช้ชื่อของ anchorสามารถที่จะทำาการกระโดดไปยังจุดที่ต้องการในเว็บเพจเดียวกันได้ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นโครงสร้างของการกำาหนดชื่อของ anchor6. HTML Frames Frames สามารถทำาให้แสดงเว็บเพจได้มากกว่า 1 หน้าภายในหนึ่งหน้าวินโดวส์6.1 The Frameset Tag Tag <frameset> เป็นการแบ่งหน้าวินโดวส์ โดยสามารถกำาหนดได้ทั้ง แถว และคอลัมน์ค่า (values) ของแถว/คอลัมน์ จะเป็นค่าที่ใช้กำาหนดขนาดของจอภาพ6.2 The Frame Tag Tag <frame> ใช้กำาหนดชื่อเอกสาร HTML ที่ตองการ ้แสดงในแต่ละคอลัมน์ หรือแถวจากตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการกำาหนดให้มี 2 คอลัมน์ ในคอลัมน์แรกกำาหนดให้มีขนาด 25%ของความกว้างของหน้าจอวินโดวส์ คอลัมน์ที่สองกำาหนดให้มีขนาด 75% ของความกว้างของหน้าจอวินโดวส์ เอกสาร HTML ”frame_a.htm” จะถูกแสดงผลที่คอลัมน์แรก และเอกสารHTML ”frame_b.htm” จะถูกแสดงผลคอลัมน์ที่สอง7. HTML Tables Tables จะถูกกำาหนดโดย Tag <table> Table จะถูกแบ่งออกเป็นแถว (Tag <tr>) ในแต่ละแถวจะแบ่งเป็นเซลล์ข้อมูล (Data Cells) (Tag <td>) ซึ่งในเซลล์ข้อมูลนั้นสามารถที่จะเป็นได้
  • 26. ทั้งข้อความ รูปภาพ ฟอร์ม (Form) ตาราง และอื่น ๆ7.1 Tables และ Border Attribute โดยทั่วไปแล้วถ้า Table ไม่มีการกำาหนด Border เว็บบราวเซอร์จะไม่แสดงขอบของตารางออกทางหน้าจอ ดังนั้นเพื่อให้เว็บบราวเซอร์ทำาการแสดงขอบของตาราง จะต้องเพิ่มBorder Attribute ลงไป7.2 Headings in a Table หัวของตารางกำาหนดโดย Tag <th>8. HTML Lists HTML จะประกอบด้วย Ordered Lists และ UnorderedLists8.1 Unordered Lists Unordered List คือรายการ (items) ซึ่งจะแสดงเป็นเครื่องหมาย โดย Unordered Listเริ่มต้นด้วย Tag <ul> และในแต่ละรายการจะเริ่มต้นด้วย Tag<li>8.2 Ordered Lists Ordered List ก็คือรายการ แต่จะแสดงด้วย โดยOrdered List จะเริ่มต้อนด้วย Tag <ol>และในแต่ละข้อจะเริ่มต้นด้วย Tag <li>9. HTML Images HTML สามารถที่จะแสดงรูปภาพในเอกสาร HTML9.1 Image Tag และ Src Attribute ใน HTML ถ้าต้องการที่จะแทรกรูปภาพลงในเอกสารจะใช้Tag <img> โดย <img>ประกอบไปด้วย Attribute และจะไม่มี Tag ปิด โดยทำาหน้าที่แสดงรูปภาพในเว็บบราวเซอร์ ใน
  • 27. Tag <img> จะต้องประกอบไปด้วย Attribute src ซึ่ง srcเปรียบเสมือนแหล่งที่เก็บรูปภาพ(Source) ซึ่งค่าที่อยู่ใน src ก็คือ URL ของรูปภาพที่ต้องการแสดงในเว็บบราวเซอร์นั่นเองโครงสร้างของ Tag <img> มีดังนี้<img src = ”url”>URL จะเป็นตัวที่บอกถึงสถานที่จัดเก็บรูปภาพ เช่นถ้ารูปภาพมีชื่อว่า "boat.gif" จัดเก็บไว้ในไดเรกทอรี่ ”image” ซึ่งอยู่ใน ”www.it.msu.ac.th” จะมีURL ดังนี้http://www.it.msu.ac.th/image/images/boat.gif9.2 Alt Attribute alt attribute ใช้แสดงข้อความ (alternate text) ในแต่ละรูปภาพ แสดงดังตัวอย่างต่อไปนี้<img src = ”boat.gif” alt = ”Big Boat”>alt attribute ใช้บอกผู้อ่านเมื่อเว็บบราวเซอร์ไม่สามารถทำาการแสดงรูปภาพนั้นออกทางหน้าจอ ดังนั้นจากตัวอย่างข้างต้น ถ้าไม่สามารถทำาการแสดงรูปภาพ เว็บบราวเซอร์จะทำาการแสดงข้อความ ”Big Boat” แทน10. HTML Backgrounds HTML สามารถที่จะแสดงพื้นหลัง (Background) เป็นสีและก็สามารถแสดงเป็นรูปภาพได้ Tag <body> จะประกอบด้วย 2 Attribute ซึ่งสามารถกำาหนดให้เป็นสี หรือรูปภาพก็ได้10.1 Bgcolorbgcolor attribute จะทำาการกำาหนดพื้นหลังของเว็บเพจให้มีสีสัน โดยค่าของ bgcolor จะประกอบด้วยเลขฐานหก (Hexadecimal Number), ค่าสี RGBหรือชือของสี ่
  • 28. คำา สั่ง ในภาษา HTML คำา สั่ง พื้น ฐาน< !– ข้อความ –>คำาสั่ง หมายเหตุ ใช้อธิบายความหมาย ขื่อผู้ เขียนโปรแกรม และอื่นๆ<br> คำาสั่งขึ้นบรรทัดใหม่<p> ข้อความ คำาสั่งย่อหน้าใหม่</p><hrwidth=”50%” คำาสั่ง ตีเส้น, กำาหนดขนาดเส้นsize = “3″>&nbsp; คำาสั่ง เพิ่มช่องว่าง<IMG SRC = คำาสั่งแสดงรูปภาพชื่อ Photo.gif“PHOTO.GIF”><CENTER>ข้อความ คำาสั่งจัดให้ข้อความอยู่กึ่งกลาง</CENTER><HTML> คำาสั่ง <HTML> คือคำาสั่งเริ่มต้นในการเขียน</HTML> โปรแกรม HTML และมีคำาสั่ง </HTML> เพื่อ บอกจุดสิ้นสุดโปรแกรม<HEAD> คำาสั่ง <HEAD> คือคำาสั่งบอกส่วนที่เป็นชื่อ</HEAD> เรื่อง โดยมีคำาสั่งย่อย <TITLE> อยู่ภายใน<TITLE> คำาสั่ง <TITLE> คือคำาสั่งบอกชื่อเรื่อง จะไป</TITLE> ปรากฏที่ Title Bar<BODY> คำาสั่ง <BODY> คือคำาสั่งบอกส่วนเนื้อเรื่อง ที่</BODY> จะถูกแสดงผลในเวปบราวเซอร์ ประกอบด้วย
  • 29. รูปภาพ ตัวอักษร ตาราง เป็นต้น รูป แบบตัว อัก ษร<font size = “3″> ขนาดตัวอักษรข้อความ </font><font color =“red”> ข้อความ สีตัวอักษร</font><font face =“Arial”> ข้อความ รูปแบบตัวอักษร</font><besefont size =“2″> ข้อความ กำาหนดค่าเริ่มต้นของขนาดตัวอักษร</font><b> ข้อความ </b> ตัวอักษรหนา<i> ข้อความ </i> ตัวอักษรเอน<u> ข้อความ </u> ขีดเส้นใต้ตัวอักษร<tt> ข้อความ </tt> ตัวอักษรแบบพิมพ์ดีด หมายเหตุุ เราสามารถใช้คำาสั่งกำาหนด รูปแบบตัวอักษร หลายๆรูปแบบได้ เช่น <font face = “Arial” size = “3″ color = “red”> ข้อความ </font> เป็นต้น
  • 30. จุด เชื่อ มโยงข้อ มูล<a href =”#news”> Hot News กำาหนดจุดเชื่อมชื่อ news</a> , ส่วน “a name” คือ<a name =”news”> ตำาแหน่งที่ลิงค์ไป (เอกสาร เดียวกัน)<a href =”news.html”> Hot สร้างลิงค์ไปยังเอกสารชื่อNews </a> “news.html”<a href=”http://www.thai.com”> Thai สร้างลิงค์ไปยังเวปไซท์อื่น</a><a href สร้างลิงค์ไปยังเวปไซท์อื่น=”http://www.thai.com” และเปิดหน้าต่างใหม่target = “_blank” > Thai </a><a href สร้างลิงค์โดยใช้รูปภาพชื่อ=”http://www.thai.com”> photo.gif เป็นตัวเชื่อม<img src = “photo.gif”> </a><a href=”mailto:yo@mail.com”> สร้างลิงค์มายังอีเมลEmail </a> การแสดงผลแบบรายการแบบมีห มายเลขกำา กับ
  • 31. การแสดงผลแบบรายการ<OL value = “1″ > ใช้คำาสั่ง <OL> เป็นเริ่มและ<LI> รายการที่ 1 ปิดท้ายด้วย </OL> ส่วนคำา<LI> รายการที่ 2 สั่ง <LI> เป็นตำาแหน่งของ</OL> รายการที่ต้องการนำาเสนอ เราสามารถกำาหนดให้แสดง ผลรายการได้หลายแบบเช่น เรียงลำาดับ 1,2,3… หรือ I,II,III… หรือ A,B,C,… ได้ ทั้งนี้จะต้องเพิ่มคำาสั่งเข้าไป ที่ <OL value = “A”> เป็นต้น การแสดงผลแบบรายการแบบมีส ัญ ลัก ษณ์ก ำา กับ<UL type = “square”> การแสดงผลแบบรายการ<LI> รายการที่ 1 ใช้คำาสั่ง <UL> เป็นเริ่มและ<LI> รายการที่ 2 ปิดท้ายด้วย </UL> ส่วนคำา</UL> สั่ง <LI> เป็นตำาแหน่งของ รายการ ที่ตองการนำาเสนอ ้ เราสามารถกำาหนดให้แสดง ผลรายการแบบต่างๆ ดังต่อ ไปนี้ - รูปวงกลมทึบ “disc” - รูปวงกลมโปร่ง “circle” - รูปสี่เหลี่ยม “square” ได้ทั้งนี้จะต้องเพิ่มคำาสั่ง เข้าไปที่ <UL type = “square”> เป็นต้น
  • 32. การสร้า งตาราง การสร้างตาราง ใช้คำาสั่ง<TABLE BORDER = “2″ > <TABLE> เป็นเริ่มและปิด<CAPTION> การสร้างตาราง ท้ายด้วย </TABLE> ส่วน</CAPTION> BORDER เป็นคำาสั่งย่อยเพื่อ<TR> <TH> หัวเรื่อง 1 </TH> ใช้ กำาหนดขนาดของเส้น<TH> หัวเรื่อง 2 </TH> </TR><TR> <TD> ข้อมูล 1 </TD> ตาราง ถ้ากำาหนด = “0″ จะ<TD> ข้อมูล 2 </TD> </TR> หมายถึงไม่มีเส้น</TABLE> - คำาสั่ง <CAPTION> และ<ผลลัพธ์ที่ได้ /CAPTION> เป็นคำาสั่ง การสร้างตาราง แสดงข้อความอธิบายชื่อ หัว เรื่อ ง 1 หัว เรื่อ ง 2 ตารางข้อมูล 1 ข้อมูล 2 - คำาสั่ง <TR> และ< /TR> เป็นคำาสั่งเพื่อกำาหนดแถวใน ตาราง - คำาสั่ง <TH> และ< /TH> เป็นคำาสั่งเพื่อกำาหนดหัวเรื่อง ผลลัพธ์ที่ได้คือตัวอักษรจะ หนากว่าปกติ (ดูตัวอย่าง ประกอบ) - คำาสั่ง <TD> และ< /TD> เป็นคำาสั่งแสดงข้อมูลปกติ ความหมายของคำาสั่ง Table - TR หมายถึง Table Row - TH หมายถึง Table Head - TD หมายถึง Table Data
  • ที่มา http://www.slideshare.net/onrutaiintanin/ss-14289133

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

#ภาษาแอสเซมบลี

ภาษาแอสเซมบลี (อังกฤษ: Assembly Language) หมายถึง ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งซึ่งจะทำงานโดยขึ้นกับรุ่นของไมโครโพรเซสเซอร์ หรือ "หน่วยประมวลผล" (CPU) ของเครื่องคอมพิวเตอร์
การใช้ภาษาแอสเซมบลีจำเป็นต้องผ่านการแปลภาษาด้วยคอมไพเลอร์เฉพาะเรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (assembler) ให้อยู่ในรูปของรหัสคำสั่งก่อน (เช่น .OBJ) โดยปกติ ภาษานี้ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการใช้งาน และการเขียนโปรแกรมเป็นจำนวนบรรทัดมากมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ภาษาระดับสูง เช่น ภาษา C หรือภาษา BASIC แต่จะทำให้ได้ผลลัพธ์การทำงานของโปรแกรมเร็วกว่า และขนาดของตัวโปรแกรมมีขนาดเนื้อที่น้อยกว่าโปรแกรมที่สร้างจากภาษาอื่นมาก จึงนิยมใช้ภาษานี้เมื่อต้องการประหยัดเวลาทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรม
เนื่องจากตัวคำสั่งภายในภาษาอ้างอิงเฉพาะกับรุ่นของหน่วยประมวลผล ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปใช้กับหน่วยประมวลผลอื่นหรือระบบอื่น (เช่น หน่วยประมวลผล x86 ไม่เหมือนกับ z80) จะต้องมีการปรับแก้ตัวคำสั่งภายในซึ่งบางครั้งอาจไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์


แหล่งที่มา http://th.wikipedia.org/ภาษาแอสเซมบลี

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การเขียนรหัสเทียม + flowchart

การเขียนรหัสเทียม
รหัสเทียม(Pseudo Code อ่านว่า “ซูโดโค้ด”) คือ การอธิบายลำดับขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดได้จากขั้นตอนวิธีการ
ประมวลผล แล้วขั้นตอนต่อไปคือ นำขั้นตอนการประมวลผลมาเขียนผังงานหรือรหัสเทียมหรืออาจเขียนทั้งสองอย่าง เพื่อนำผังงานหรือรหัสเทียมไปใช้ประกอบการเขียนโปรแกรมต่อไป

ลักษณะการเขียนโปรแกรม
เมื่อได้รับมอบหมายงานหรือปัญหา นักเรียนซึ่งจะเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นต้องมีหน้าที่ ดังนี้
-          หาขั้นตอนวิธี(Algorithms) สำหรับศึกษาการแก้ปัญหานั้นๆให้กับคอมพิวเตอร์
-          นักเรียนต้องอธิบายขั้นตอนวิธีดังกล่าวนั้นให้อยู่ในรูปแบบหรือคำสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
-          Program = เซตของชุดคำสั่ง (คำสั่งสำหรับสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน)

ขั้นตอนวิธีสำหรับการโปรแกรม(Algorithms)
                คือ ลำดับของชุดคำสั่งสำหรับการแก้ปัญหา ขั้นตอนวิธีที่ดีสำหรับการโปรแกรมต้องมีคุณลักษณะดังนี้
-          แต่ละคำสั่งต้องไม่กำกวม (Unambiguous) และ เป็นคำสั่งที่คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้
-          หลังจากคอมพิวเตอร์ดำเนินการกับคำสั่งใดๆแล้วคำสั่งถัดไปจะให้คอมพิวเตอร์ทำงานนั้นต้องไม่กำกวมด้วย
-          การทำงานของคำสั่งทั้งหมดต้องจบในขั้นตอนที่จำกัด

ลักษณะของรหัสเทียม
1.กำหนดจุดเริ่มต้นด้วยคำว่า “Begin” และจุดสิ้นสุดด้วยคำว่า “End”
2.ใช้คำที่สามารรถเข้าใจได้ง่าย
3.การเขียนรหัสเทียมแต่ละคำสั่งควรเขียนเป็นบรรทัดๆ
4.การเขียนรหัสเขียนรหัสเทียมต้องไม่ขึ้นกับภาษาใดภาษาหนึ่งในการเขียนโปรแกรม
5.ควรมีการย่อหน้า เพื่อสะดวกต่อการอ่านและการตรวจสอบ
6.การเขียนรหัสเทียมจะเขียนจากบนลงล่าง และมีทางเข้าหนึ่งทาง ทางออกหนึ่งทาง
7.การเขียนรหัสเทียมจะไม่เขียนหมายเลขกำกับในแต่ละขั้นตอน
ประเภทของชุดคำสั่งในภาษาโปรแกรม
-คำสั่งรับข้อมูล (Input)
-คำสั่งแสดงผลข้อมูล (Output)
-คำสั่งประมวลผลข้อมูล หรือ การกำหนดค่าตัวแปร (Assignment statement)
-คำสั่งเปรียบเทียบค่า (Condition or Selection)
-คำสั่งกระทำซ้ำ (Iteration or Looping)


Flowchart คืออะไร
Flowchart คืออะไร
flowchart เป็นแผนผังประเภทหนึ่งที่แสดงกระบวนการหรือ algorithm ที่จะแสดงเป็นขั้นเป็นตอน โดยเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการหรือแสดงเส้นทางการไหลโดยเส้นและลูกศร นิยมใช้กันตั้งแต่ปี 1960 โดยใช้เป็นแผนที่ logic ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้ในการพัฒนางาน ใช้แสดงกระบวนการทำงานในปัจจุบันเพื่อหาจุดบกพร่องของงาน

เมื่อไหร่จึงจะใช้ Flowchart
ควรใช้เมื่อมีความต้องการในการพัฒนากระบวนการใดๆ ในปัจจุบัน(as-is) ซึ่ง flowchart จะช่วยให้ทีมงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากระบวนการเข้าใจถึงกระบวนการที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับกระบวนการในอนาคต(to be) เพื่อพัฒนากระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ใช้เมื่อต้องการวิเคราะห์หรือกำหนดกระบวนการ ทั้งรายละเอียดของ action และการตัดสินใจ
- ใช้เมื่อต้องการหาปัญหาได้อย่างตรงจุดในกระบวนการ
- ใช้เมื่อประเมินศักยภาพหรือประสิทธิภาพของกระบวนการ เพื่อช่วยระบุว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- ใช้เมื่อต้องการสื่อสารหรือฝึกอบรมเบื้องต้น เพื่อให้มีความเข้าใจที่ตรงกันในรายละเอียดของกระบวนการ

ประโยชน์ของการใช้ Flowchart
- ทำให้ทุกคนเข้าใจกระบวนการที่ถูกจัดทำเป็นลำดับภาพ(ให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกัน) : โดยทั่วไปแต่ละคนอาจมีแนวความคิดที่แตกต่างกันไปเกี่ยวการกระบวนการทำงาน flowchart จึงสามารถช่วยให้เข้าใจตรงกันในขั้นตอนหรือลำดับของกระบวนการ และยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของผู้เขียนกระบวนการที่เขียนขึ้นมาว่าถูกต้องกับสิ่งที่เป็นจริงหรือไม่
- เป็นเครื่องมือสำหรับฝึกอบรมพนักงาน : เป็นเครื่องมือช่วยในการฝึกอบรมพนักงานใหม่หรือเก่าในการทำงานให้ได้ตามมาตรฐานกระบวนการที่ได้มีการกำหนดไว้
- ทำให้ทราบปัญหาและโอกาสในการพัฒนากระบวนการ : ถ้ามองลึกลงไปในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการและภาพ diagram จะเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโอกาสในวิเคราะห์ปัญหาในกระบวนการได้ตรงจุด ทราบถึงขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน และงานที่วนไปวนมาไม่มีประสิทธิภาพ

สัญลักษณ์ที่ใช้ใน Flowchart
รูปไข่ (Oval) : ใช้แสดงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของกระบวนการ
กล่อง (Box) : แสดงถึงขั้นตอนหรือกิจกรรมในแต่ละกระบวน
เพชร (Diamond) : แสดงจุดที่ต้องตัดสินใจ เช่น ใช่/ไม่ใช่ หรือ ไป/ไม่ไป โดยในแต่ละทางเลือกจะต้องมีทางใดทางหนึ่งที่เป็นคำตอบเสมอ
วงกลม (Circle) : แสดงการเชื่อมต่อภายในหน้าเดียวกัน โดยจะมีตัวเลขในวงกลมแสดงว่าจุดใดที่มีการเชื่อมต่อกัน
รูปห้าเหลี่ยม (Pentagon) : แสดงถึงจุดเชื่อมต่อไปยังหน้าอื่นๆ โดยจะมีตัวหนังสือเขียนกำกับว่าเชื่อมต่อกับหน้าใด
เส้นการไหล : แสดงทิศทางการไหลของกระบวนการ

ระดับในการเขียนรายละเอียดของ Flowchart
     เมื่อต้องการพัฒนาอะไรบางอย่างโดยใช้ flowchart สิ่งที่ควรพิจารณาคือใครจะเป็นผู้นำข้อมูลที่เราเขียนไปใช้งาน และต้องการใช้งานข้อมูลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะช่วยให้เราทราบถึงระดับของรายละเอียดการเขียน flowchart ได้
Macro Level : ระดับนี้เป็นระดับที่ไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดมากในระดับการทำงานของกระบวนการ แต่จะเขียนเป็นภาพกว้างๆ เพียงพอสำหรับจุดประสงค์การนำ flowchart ไปใช้งาน โดยทั่วไปแล้วระดับ macro level นี้จะเขียนไม่เกิน 6 ขั้นตอน ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 30,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แล้วมองลงมาเห็นทะเล พื้นดิน ภูเขา
Mini Level : เป็นระดับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภาพกว้างๆ macro level กับ micro level ซึ่งโดยปกติแล้วจะเจาะลงไปในส่วนใดส่วนหนึ่งของ flowchart ระดับ macro level ตัวอย่างเช่น เราอยู่บนเครื่องบินที่ระดับ 10,000 ฟุต จากระดับน้ำทะเล แล้วมองเห็นบนพื้นดินมีเมืองหลายๆ เมือง หรือมีภูเขาหลายๆ ลูก ฯลฯ
Micro Level : เป็นมุมมองระดับพื้นดินที่เห็นรายละเอียดได้ครบทุกส่วน โดยจะบันทึกทุกข้อมูล ทุกกิจกรรมหรือทุกการกระทำ ทุกการตัดสินใจ ซึ่งรูปแบบนี้จะใช้เพื่อเป็นตัวบอกวิธีการทำงานอย่างละเอียด เช่น เราอยู่บนเครื่องบินระดับที่สามารถมองเห็นได้ทุกๆ รายละเอียดของเมือง เห็นทุกบ้าน และเห็นไปถึงภายในบ้าน

วิธีการเขียน Flowchart
- ระบุผู้ที่เป็นคนเขียน flowchart ให้ถูกต้อง
- พิจารณาว่าอะไรที่คาดหวังว่าจะได้จาก flowchart
- ระบุว่าใครที่จะใช้ flowchart
- กำหนดระดับในการเขียน flowchart ที่ต้องการ
- กำหนดขอบเขตของกระบวนการหรือการเขียน flowchart

สิ่งสำคัญที่จะทำให้การเขียน Flowchart ประสบความสำเร็จ
- เริ่มต้นด้วยภาพกว้างๆ ก่อน : เขียน flowchart ในระดับ macro level ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจะสามารถเขียนในระดับที่ลึกลงไปในแต่ละส่วนได้
- เข้าไปสังเกตการณ์ในกระบวนการ : ทางที่จะทำให้การเขียน flowchart ประสบความสำเร็จได้ต้องเข้าไปเห็นกระบวนการทำงานจริง จึงจะเห็นภาพการทำงานที่เกิดขึ้นได้อย่างครบถ้วน
- บันทึกขั้นตอนของกระบวนการจากการเข้าไปสังเกตการณ์ : บันทึกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เขียนขั้นตอนบนบัตรบันทึก(Post-it) จัดเรียงลำดับไว้ โดยใช้สีที่แตกต่างกันเพื่อแสดงกลุ่มการทำงาน ซึ่งจะทำให้เข้าใจกระบวนการทำงานได้มากขึ้น
- จัดเรียงลับดับเป็นขั้นเป็นตอน : จัดเรียงบัตรบันทึก(Post-it) ที่บันทึกไว้จากการเข้าไปสังเกตการณ์ วางให้ครบตามจริงที่บันทึกมา
- เขียน flowchart : เขียนจากข้อมูลต่างๆ ที่ได้ไปสังเกตการณ์ การบันทึก และจัดเรียงลับดับขั้นตอน

การเขียน flowchart เพิ่อปรับปรุงกระบวนการทำงานแนวใหม่
กระบวนการทำงานสมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วจะถูกกำหนดโดยผู้ปฏิบัติงานหรือเจ้าของบริษัท แต่ในปัจจุบันความต้องการของผู้บริโภค ความหลากหลายของพฤติกรรม รวมถึงการแข่งขันมีมากขึ้น ทำให้กระบวนการทำงานขององค์กรต่างๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้บริโภคหรือลูกค้า เช่น สมัยก่อนลูกค้าไม่ได้ต้องการความรวดเร็วในการบริการมากนัก แต่ในปัจจุบันที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปลูกค้ารุ่นใหม่เกิดมาพร้อมความรวดเร็วของเทคโนโลยี และหากองค์กรยังไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการให้รวดเร็วทันต่อความต้องการของลูกค้า จะทำให้ไม่สามารถแข่งขันในธุรกิจยุคใหม่ได้  เช่น ลูกค้าต้องการความรวดเร็ว องค์กรก็ต้อเปลี่ยนกระบวนการให้เร็วขึ้น หรือลดกระบวนการใดที่ไม่จำเป็นลง ดังนั้นการเขียน flowchart เพื่อปรับปรุงกระบวนการยุคใหม่นี้ จำเป็นจะต้องเขียน flowchart ในมุมของลูกค้าก่อนเป็นอันดับแรก จึงจะเขียน flowchart ขององค์กรให้ตรงตาม flowchart ที่ลูกค้าต้องการ.



วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

นานาชาติเซนต์เทเรซา

กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ

โดยปกติมนุษย์มีกระบวนในการแก้ปัญหา ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ 1)  การวิเคราะห์และกำหนดรายละเอียดของปัญหา  (State The Problem) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนแรกสุดก่อนที่จะลงมือแก้ปัญหาแต่ผู้แก้ปัญหามักจะมองข้ามไปจุดประสงค์ของขั้นตอนนี้ คือ
การทำความเข้าใจกับปัญหาเพื่อแยกให้ออกว่าข้อมูลที่กำหนดมาในปัญหาหรือ
เงื่อนไขของปัญหาคืออะไร อีกทั้งวิธีการที่ใช้ประมวลผล
กล่าวโดยสรุปมีองค์ประกอบในการวิเคราะห์ดังนี้
             การระบุข้อมูลเข้าได้แก่ การพิจารณาข้อมูลและเงื่อนไขที่กำหนดมาในปัญหา          การระบุข้อมูลออก ได้แก่ การพิจารณาเป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องหาคำตอบ
             การกำหนดวิธีประมวลผลได้แก่ การพิจารณาขั้นตอนวิธีการได้มาซึ่งคำตอบหรือข้อมูลออก 
2) การเลือกเครื่องมือและออกแบบขั้นตอนวิธี (Tools And Algorithm Development) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของการวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนหลังจากที่เราทำความเข้าใจกับปัญหา พิจารณาเงื่อนไขและข้อมูลที่มีอยู่
และสิ่งที่ต้องการหาในการแก้ปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากที่เราทำความเข้าใจกับปัญหา พิจารณาเงื่อนไขและข้อมูลที่มีอยู่
และสิ่งที่ต้องการหาในขั้นตอนที่ 1
แล้ว
เราสามารถคาดคะเนวิธีการที่จะใช้ในการแก้ปัญหา
ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ของผู้แก้ปัญหาเป็นหลัก
หากผู้แก้ปัญหาเคยพบกับปัญหาทำนองนี้มาแล้วก็สามารถดำเนินการตามแนวทางที่
เคยปฏิบัติมา
ขั้นตอนนี้จะเริ่มจากการเลือกเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหาโดยพิจารณาความเหมาะสมระหว่างเครื่องมือกับเงื่อนไขต่างๆ ของปัญหา
ซึ่งหมายรวมถึงความสามารถของเครื่องมือในการแก้ปัญหาดังกล่าว
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความคุ้นเคยในการใช้งานเครื่องมือนั้นๆ ของผู้แก้ปัญหา
อีกสิ่งหนึ่งที่ สำคัญในการแก้ปัญหา คือยุทธวิธีที่ใช้ในการแก้ปัญหา หรือที่เราเรียกว่า “ขั้นตอนวิธี” (Algorithm) ในการแก้ปัญหาหลังจากที่เราได้เครื่องมือช่วยแก้ปัญหาแล้ว
ผู้แก้ปัญหาต้องวางแผนว่าจะใช้เครื่องมือดังกล่าวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูก
ต้องที่สุด การออกแบบขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหา
ผู้แก้ปัญหาควรใช้แผนภาพหรือเครื่องมือในการแสดงขั้นตอนการทำงาน
เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ เช่น ผังงาน (Flowchart) ที่จำลองวิธีขั้นตอนการแก้ปัญหาในรูปแบบสัญลักษณ์รหัสจำลอง (Pseudo Code) ซึ่งเป็นการจำลองขั้นตอนวิธีการปัญหาในรูปแบบคำบรรยายการใช้เครื่องมือช่วยออกแบบดังกล่าว
นอกจากแสดงกระบวนการที่ชัดเจนแล้วยังช่วยให้ผู้แก้ปัญหาสามารถหาข้อผิดพลาด
ของวิธีการที่ใช้ได้ง่ายและแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
3) การดำเนินการแก้ปัญหา (Implementation) หลังจากที่ออกแบบขั้นตอนวิธีเรียบร้อยแล้วขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ต้องลงมือแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องมือที่เลือกไว้
การแก้ปัญหาดังกล่าวใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยงาน
ขั้นตอนนี้ก็เป็นการใช้โปรแกรมสำเร็จหรือใช้ภาษาคอมพิวเตอร์เขียนโปรแกรมแก้ ปัญหา
ขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือที่เลือกใช้
ซึ่งผู้แก้ปัญหาต้องศึกษาให้เข้าใจและเชี่ยวชาญ ในขณะดำเนินการ
หากพบแนวทางที่ดีกว่าที่ออกแบบไว้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้
4) การตรวจสอบและปรับปรุง (Refinement) หลังจากที่ลงมือแก้ปัญหาแล้วต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า
วิธีการนี้ให้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง
โดยผู้แก้ปัญหาต้องตรวจสอบว่าขั้นตอนวิธีที่สร้างขึ้นสอดคล้องกับรายละเอียด
ของปัญหา ซึ่งได้แก่ ข้อมูลเข้าและข้อมูลออก
เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถรองรับข้อมูลเข้าได้ทุกกรณีอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ในขณะเดียวกันก็ต้องปรับปรุงวิธีการเพื่อให้การแก้ปัญหานี้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ที่สุด
ขั้นตอนทั้ง ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เป็นเสมือนขั้นบันได (Stair) ที่ทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาต่างๆได้ รวมทั้งการเขียนหรือพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหา ก็ต้องใช้กระบวนการตามขั้นตอนทั้งนี้เช่นกัน


ที่มา: http://www.thaigoodview.com/node/83018

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ประวัติส่วนตัว



ชื่อ : นางสาวอุษณี อี้โค้ว ชั้น ม.5/1 เลขที่ 42
ชื่อเล่น : เอ๊ะ
อีเมล : akeuadijieze@gmail.com
อายุ : 16 ปี
วันเกิด :  4 มกราคม 2540